เชื่อว่าตอนนี้หลายคนคงรู้จักหนุ่มน้อยวัย 22 ปีคนนี้ และได้ยินเรื่องราวในชีวิตของเขากันมาบ้างแล้ว แต่เราก็อยากให้บทสัมภาษณ์นี้พาทุกคนไปทำความรู้จักกับชีวิตอีกหลากหลายแง่มุมของ ไบร์ท-วชิรวิชญ์ ชีวอารี รวมถึงผู้หญิงที่ไบร์ทรักที่สุดด้วย
คุยกับ ไบร์ท-วชิรวิชญ์ แบบลึกสุดใจ “ความดัง ดราม่า และผู้หญิงที่รักที่สุดในชีวิต”
อัพเดตสักนิด ชีวิตช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ
“เป็นช่วงทำงานที่พีคที่สุดเลยครับ แต่ก็ไม่ได้ทำงานแบบเช้าถึงมืดขนาดนั้น ยังพอมีเวลาได้ออกกำลังกายตอนเช้า วันไหนกลับบ้านเร็วหน่อยช่วงเย็นก็จะมีเวลาดูทีวี เล่นเกม ยังพอมีเวลาได้นอนครับ บางวันผมก็นอนดึก บางวันก็นอนหัวค่ำ สลับๆ กัน แต่ถ้าวันไหนทำงานเหนื่อยๆ ถึงบ้านหลับเลยก็จะตื่นมา 5 ทุ่ม อาบน้ำ ดูทีวีแป๊บนึง แล้วก็นอนต่อ”
ย้อนอดีตไปหน่อย ทำไมไบร์ทถึงเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง
“ผมเข้าวงการตั้งแต่อายุ 14-15 ปี จุดมุ่งหมายในการทำงานวงการบันเทิงคือ อยากหารายได้เสริมเฉยๆ ไม่ได้คิดว่าจะต้องดัง ต้องได้เป็นพระเอก ผมแค่อยากมีรายได้เป็นของตัวเอง เพราะบางอย่างเราอยากซื้อ อยากได้ อยากไปเที่ยว แต่ที่บ้านก็ไม่ได้มีเงินมากที่พอที่จะให้ได้ทุกอย่าง ในเมื่อมีช่องทางให้เราหาเงินเองก็เลือกทำงานดีกว่า เวลาอยากซื้ออะไร จะทำอะไร เราจะได้ต้องไม่ขอที่บ้าน
“การที่ผมทำงานตั้งแต่เด็กก็ไม่รู้สึกว่ายากลำบาก หรือสู้ชีวิตอะไร ผมกลับรู้สึกสนุก ตื่นเต้นที่ได้ทำ แต่ด้วยความที่ยังเด็กมาก เราก็ไม่ได้โอเคกับทุกอย่าง บางทีก็เอาแต่ใจ เสื้อผ้าไม่ได้อยากใส่แบบนี้ทำไมต้องใส่ ผมก็ไม่ใส่ มีความงี่เง่าพอตัวเลย แต่พอโตขึ้นผมถึงเข้าใจว่านี่เรามาทำงานก็ต้องตั้งใจ รับเงินก็ต้องทำงานออกมาให้ดี ทีแรกผมไม่เข้าใจเราต้องเล่น ต้องแสดงยังไง เล่นไปก็ไม่ถูกใจ เล่นไม่ถึง ได้งานบ้างไม่ได้บ้าง แคสต์งานไปประมาณ 30 ตัว มาได้ตัวที่ 31 พอได้ตัวแรก ก็ได้งานมาตลอด”
ชีวิตเด็กชายไบร์ทตอนเด็กๆ เป็นอย่างไรบ้างคะ
“บ้านผมอยู่นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ตอนประถมเป็นเด็กเรียนจริงจัง ใส่แว่นหนาๆ แข่งวิชาการหลายงานเลย ไม่ว่าจะเป็น ของ สสวท. เพชรยอดมงกุฏ แม่ส่งเรียนพิเศษตั้งแต่เด็ก เรื่องเรียนแม่ทุ่มเทเพื่อลูกมาก แม่อ่านหนังสือให้ฟังผมตั้งแต่เกิด ตั้งแต่อยู่ในท้องด้วยซ้ำ อ่านนิทานให้ลูกฟังทุกคืน เลยทำให้ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็กๆ ผมใส่แว่นตั้งแต่อนุบาล 3 เพราะชอบแอบอ่านหนังสือใต้ผ้าห่มแล้วเปิดไฟฉายส่อง (หัวเราะ) แม่ให้นอนแต่ผมไม่นอน สายตาเลยสั้นตั้งแต่เด็ก
“ความที่ผมอ่านหนังสือเยอะมากๆ ตอนเรียนอนุบาลผมเอาหนังสือของป.1 มาอ่านแล้ว เรียนนำไปเอง นั่งทำแบบฝึกหัดเอง ป.2 ผมก็อ่านหนังสือเรียนของ ป.3 จบแล้ว คือสมัยนั้นไม่มีเกม แม่ไม่ซื้อให้เพราะมันแพงมากตั้ง 5 พัน ถ้าอยากเล่นก็ยืมเพื่อนเอา ผมก็ไม่ได้อ่านแต่วิชาการนะ นิยายแฟนตาซี สืบสวนสอบสวนผมอ่านหมด อ่านไปเรื่อยสนุกดีครับ
ล่าสุดมีหนังสืออะไรที่ชอบอ่านและอยากแนะนำมั้ยคะ
“ผมชอบเซเปี้ยนส์ หนังสือประวัติย่อมนุษยชาติ (Sapiens : A brief history of humankind) คือพูดเรื่องมนุษย์ พูดตั้งแต่เราเป็นลิง จากลิงที่โดนไล่ล่า อยู่ท้ายของห่วงโซ่อาหาร อยู่ดีๆขึ้นมาอยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารได้อย่างไร ธรรมชาติเป็นอย่างไร ทำไมแต่ก่อนเรามีศาสนาเยอะ ความเชื่อเยอะ ทำให้ผมรู้ว่าจริงๆ มนุษย์เราเป็นสัตว์ที่อยู่กับจินตนาการเยอะมาก
“พูดเรื่องความเชื่อ แม่ชอบดูดวง (ยิ้ม) ตอนเด็กๆ แม่เคยชวนผมไปไหว้ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตอนสอบเข้า ผมบอกว่าแม่ ไบร์ทเอาเวลาที่จะไปไหว้ขอพรมาอ่านหนังสือ จะทำให้ไบร์ทสอบติดมากกว่าไหม แม่บอกว่าผมประหลาด แต่นี่แหละคือผม ส่วนแม่จะเป็นฝ่ายอยู่กับจินตนาการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด และไม่ใช่ว่าผมลบหลู่ แต่ผมยึดตัวเองและความจริงมากกว่า ชีวิตเราดีไซน์เอง ผมเลือกที่จะเชื่อตัวเอง
“พอถึงช่วงป.4 ผมเริ่มเล่นดนตรีเยอะ เพราะที่บ้านเปิดโรงเรียนสอนดนตรี ลุงเป็นครูสอนด้วย ความที่เป็นลูกหลานก็ต้องเล่นดนตรีให้ได้ ลุงสอนเด็กตีกลอง ลุงเล่นเบส ไบร์ทต้องมาเล่นกีตาร์ให้ ลุงสอนเด็กเล่นเบส ลุงเล่นกีตาร์ ไบร์ทตีกลอง ผมเริ่มเล่นเครื่องดนตรีชิ้นแรกคือกีตาร์ ต่อด้วยกลอง และเบส
“ตอนเด็กผมไปประกวดเยอะมาก มีวงเป็นของตัวเองตอนนั้นอายุ 11-12 ปี แข่งเวทีเล็กๆ รางวัลที่1 ได้ 5 บาทบ้าง 2 หมื่นบาทบ้าง แต่ไม่เคยได้ไปเวทีใหญ่ถึงขั้นฮอตเวฟมิวสิคอวอร์ด ตอนอยู่กับวงที่บ้านผมจะเล่นเบส พอขึ้นม.ต้นอยู่สวนกุหลาบฯ เล่นกีตาร์ พอขึ้นม.ปลายผมตีกลอง เข้ามหา’ลัยเป็นนักร้อง เป็นช่วงเวลาดีๆ ที่สนุกมาก แล้วก็เริ่มไปแข่งดนตรีเบนความสนใจไปที่ดนตรีมากขึ้น จากที่อยู่ห้อง 1 (อันดับหนึ่งของเด็กเรียนดี) ก็มาอยู่ห้อง 2 รองลงมา เพราะไม่ค่อยส่งงานครู
“นอกจากดนตรีผมยังชอบเตะบอลมาก ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเตะบอลตั้งแต่ 4 โมงเย็น กลับเข้าบ้านตอน 2 ทุ่ม ตะลอนไปเตะลานวัด ย้ายไปสนามหญ้า ย้ายไปเตะหลังโรงงาน เดินสายเตะทุกเย็น เตะจนกว่าจะหมดแรงค่อยกลับบ้าน มอเตอร์ไซค์มีไว้แว๊นไปตระเวนเตะบอล กับไปซื้อของกิน ไปร้านเกม ไม่ได้ไปทำอย่างอื่นเลยครับ”
บ้านอยู่นครปฐมนี่แปลว่าต้องเดินทางมาเรียนไกลเลยนะคะ
“ม.ต้นเรียนสวนกุหลาบฯ ตื่นตั้งแต่ตี 5.30 ผมจะนั่งรถตู้ไป-กลับ พอม.ปลาย ย้ายมาเรียนที่เตรียมอุดมศึกษา ไปกลับด้วย บางทีก็นอนบ้านน้า แล้วน้ามาส่งขึ้น BTS ช่วง ม.ปลายผมจะอยุ่กรุงเทพฯมากกว่า จะได้มีเวลาอ่านหนังสือ ทำการบ้าน เพราะวันนึงเสียเวลาเดินทาง 3-4 ชั่วโมง บวกกับช่วงนั้นผมเริ่มทำงาน บางทีมีแคสต์งานเสาร์-อาทิตย์ วันศุกร์ผมจะแพ็คเสื้อผ้ามาหลายๆ ตัว แล้วนอนบ้านเพื่อนบ้าง บ้านน้าบ้าง ตื่นมาจะไปทำงานได้เลย วันอาทิตย์กลับบ้าน วันจันทร์เข้ากรุงเทพฯมาเรียน ผมใช้ชีวิตเป็นห้วงๆ แบบนี้ เราจะดูตารางเรียนและทำงานเพื่อวางแผนว่าจะกลับบ้านหรืออยู่กรุงเทพฯ ต่อ”
ทำไมม.ปลาย ไม่เรียนสวนกุหลาบฯ ต่อยาวๆ เลยคะ
“ผมอยู่ภาค Gifted ที่สวนกุหลาบฯ พอเข้าม.ต้นก็มีความอี่เหละเขละขละ โดนตัดคะแนนเยอะ ทำให้ไม่ได้อยู่ภาค Gifted ต่อ ต้องย้ายไปอยู่ห้องธรรมดา แม่ผมก็แบบ… ถ้าอยู่ห้องธรรมดา ไบร์ทย้ายกลับมาเรียนโรงเรียนใกล้บ้านดีกว่า คือแม่ผมก็เป๊ะเรื่องเรียนพอสมควร ความที่เป็นลูกคนเดียว แม่เลยคาดหวังมาก แล้วแม่ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับผมมาตลอด ส่งเรียนพิเศษ เพราะอยากให้ลูกได้ดี ซึ่งผมก็เข้าใจความหวังดีของแม่นะครับ
“ทีนี้ความที่ผมอยากอยู่กรุงเทพฯ เลยตั้งใจไปสอบเตรียมอุดมศึกษาให้ติดเตรียมตัวสอบ 1 เดือนอ่านหนังสือทุกวัน ผลสอบออกมาคือติด ผมเลือกที่นี่เพราะเป็นโรงเรียนที่แม่โอเค น่าจะให้ผมอยู่กรุงเทพฯ ผมเลือกสายวิทย์เพราะทั้งชีวิตอยู่กับสายวิทย์มาตลอด ไปแข่งวิชาการก็แข่งคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์”
พอเข้าไปอยู่เตรียมอุดมฯ เป็นเด็กเรียนอ่านหนังสือตลอดเลยหรือเปล่า
“ถึงเวลาเรียนก็เรียน ถึงเวลาอ่านหนังสือก็อ่าน ติวกับเพื่อนผมก็ทำนะ แต่อาจจะไม่ได้ขยันมากเท่าเพื่อน เพราะผมยังไปเตะบอล เที่ยวเล่น ทำงานด้วย ผมเรียนแค่พอผ่านเฉยๆ คนอื่นอาจจะมีเป้าหมายว่าเกรดต้องสูงๆ เพราะคณะที่เลือกต้องใช้เกรด ผมเรียนได้ 2.5 ซึ่งของผมโอเคกับระดับนี้ แม่ก็ไม่กำหนดว่าลูกต้องได้เท่านั้นเท่านี้ แม่ขอแค่ว่าลูกมีที่เรียน อยู่ในสังคมที่ดี ไม่ออกนอกลู่นอกทางก็สบายใจแล้ว ม.ปลายผมทำงาน เลยรับผิดชอบตัวเองได้บ้างแล้ว แม่เลยปล่อยให้ใช้ชีวิตได้อิสระ ตัดสินใจอะไรเองได้”
ดูเหมือนไบร์ทมีความดื้อแต่ก็มีการวางแผนเรื่องเรียนด้วยเหมือนกันนะ
“ผมอ่านหนังสือน้อยมาก เรียนพอผ่านจริงๆความหวังของแม่คืออยากลูกให้เรียนหมอ แต่ผมไม่ชอบ ผมว่าตัวเองโอเคกับวิศวะฯ มากกว่า แล้ววิศวะฯ เป็นอีกคณะที่แม่อยากให้เรียน ก็เลยเลือก ผมอยากเรียนหลักสูตรนานาชาติ เพราะอยากได้ภาษาอังกฤษ เราก็วางแผนหาเลยว่า คณะวิศวะฯ หลักสูตรนานาชาติที่ไหนมีทุนเรียนฟรี แล้วธรรมศาสตร์เปิดสอบคัดเลือกนักศึกษาทุน ผมก็ไปสอบ เพื่อจะได้ประหยัดค่าเทอม เรียนไปได้ 1 ปี งานเริ่มเข้ามาเยอะขึ้น บวกกับเรียนแล้วเริ่มไม่มีความสุขกับตัวเลขด้วย ก็เลยดร็อป 1 ปี เพื่อลองไปลุยงานให้เต็มที่
“จังหวะนั้นมีโปรเจ็กต์ที่อยากลองทำ ผมเลยใช้เวลาช่วงดร็อปไปฝึกซ้อม แต่สุดท้ายไม่ได้ ช่วงนั้นว่างๆ และยังไม่เปิดเทอมผมเลยไปแข่งโครงการ “GMM25 NEW FACE” เพื่อจะได้มีสังกัด จากนั้นก็มาลงตัวที่สังกัด GMMTV ส่วนเรื่องเรียนตอนนี้ผมเปลี่ยนแพลนไปเรียนสาขามาร์เก็ตติ้ง มหาวิทยาลัยกรุงเทพ หลักสูตรนานาชาติครับ
“ลึกๆ ผมรู้ว่าแม่เสียดายแหละ ที่ผมดร็อปเรียน แต่แม่ไม่พูด แม่ขายรถส่งให้ผมเรียนวิทย์เลยนะ แต่สุดท้ายแม่ก็ให้เกียรติการตัดสินใจซึ่งกันและกัน อาจจะเพราะแม่รู้ดีว่าผมดื้อมาแต่ไหนแต่ไร (ยิ้ม) ผมเริ่มวางแผนแล้วว่าจะตั้งใจทำงานเก็บเงิน เพื่อเปิดธุรกิจให้แม่ เราทำเท่าที่ทำได้ อาจจะไม่ดีเลิศ แต่ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไร และแบบนี้มันโอเคกับผมแล้ว”
พูดถึงคุณแม่ผู้หญิงที่สำคัญและไบร์ทรักที่สุดในชีวิตหน่อยค่ะ
“แม่เป็นผู้หญิงที่เสียสละ อดทน ต่อสู้ ไม่ค่อยพึ่งพาใคร ผมน่าจะได้ตรงนี้จากแม่ เรารู้ว่าการอยู่บนโลกใบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเห็นแม่เสียสละหลายอย่างในชีวิต ซึ่งครอบครัวเราก็ไม่ได้ร่ำรวย อยู่สบายอะไรมาก ถึงผมจะดื้อไปบ้างแต่ก็ต้องรักดี ยิ่งเป็นลูกคนเดียว แม่เลี้ยงเรามาคนเดียว เลี้ยงแบบอย่างดีที่สุดเท่าที่แม่จะทำได้ เงินเกินครึ่งของแม่ อยู่ที่เราหมด ถ้าผมไม่ทำชีวิตตัวเองให้ดีแล้วใครจะดูแลแม่ ครอบครัวผมมีกันแค่สามคน ผม แม่ อาม่า แต่ยังโชคดีที่มีบ้านญาติๆ อยู่ใกล้ๆ เลยไม่ค่อยเหงา มีลุง มีลูกพี่ลูกน้อง คอยช่วยเหลือดูแลกันไป”
คุณแม่เลี้ยงลูกชายคนเดียวอย่างไรคะ
“แม่ผมเลี้ยงลูกแบบตีเลยนะ แต่พอขึ้น ม.1 ก็ตีไม่ได้แล้วครับเพราะไบร์ทไม่กลัว (หัวเราะ) เด็กๆ เราก็ซนประสาเด็ก เรื่องที่โดนตีบ่อยคือหนีไปร้านเกมกับลูกพี่ลูกน้อง คือผู้ใหญ่จะมองว่าร้านเกมคือแหล่งมัสุ่ม ซึ่งเราก็เข้าใจนะ แม่กลัวว่าจะมีคนชวนไปทำอะไรไม่ดี
“แล้วแม่ผมไม่โอ๋ลูกเลย ถ้าพลาดก็มีสมน้ำหน้าเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ) “เห็นมั้ยแม่บอกแล้ว” หรือถ้าอะไรที่แม่ยืนยันว่าดีแต่มันไม่โอเค แม่ก็จะ “อะๆแม่ขอโทษ แม่ผิด” จริงๆ แม่ไม่ได้สอนว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ผมมองที่แม่ทำมากกว่า ผมมีแม่เป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิต คนเราอาจจะไม่ได้มีดีทุกอย่าง แม่เก่งแบบนี้ ผมเก่งแบบนี้ เราเอามาปรับใช้กัน และสุดท้ายผมก็มีความคิดของตัวเอง แม่ก็คิดแบบแม่ ผมก็คิดแบบผม ไม่ได้เห็นตรงกันหมด ผมบอกว่าจะเรียนที่นี่ ได้เกรดเท่านี้ ผมทำได้จริงแม่ก็จะไม่ห่วง ไม่ว่าจะทำอะไรแม่สอนให้ผมใช้เหตุและผลเสมอ”
ภาพของแม่ที่อยู่ในความทรงจำของไบรท์คือ…
“น่าจะตอนเด็กๆ นะครับ ผมตื่นตี 5 ครึ่งเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียน ภาพของแม่ที่ตื่นก่อนตอนตี 5 เพื่อมาทำมื้อเช้าให้ลูก ผมโดนแม่ลากมาอาบน้ำ ภาพที่แม่ส่งผมขึ้นรถตู้ไปโรงเรียน วันเสาร์จูงมือขึ้นรถตู้กันสองคนไปเรียนพิเศษในตัวเมืองนครปฐม วันอาทิตย์แม่ทำงานบ้าน นอกเหนือเวลางาน เกือบทั้งชีวิตแม่ให้เวลาทั้งหมดกับผม ผมไม่รู้เลยว่าเวลาส่วนตัวของแม่อยู่ตรงไหน ผมไม่เคยเห็นแม่ไปสังสรรค์กับเพื่อน ไปเที่ยว ตั้งแต่เด็กผมไม่เคยเห็นแม่ทำกิจกรรมอะไร นอกจากทำงานบ้านกับพาผมไปเรียนพิเศษ
“แม่เสียสละมาก ช่วงหนึ่งที่บ้านไม่มีเงิน แต่แม่อยากให้ผมเรียนพิเศษ แม่เลยขายรถเพื่อจะได้เงินมาให้ไบร์ทไปเรียนพิเศษให้ได้ ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่อง นึกว่ารถเก่าแล้วก็ไม่ค่อยได้ขับก็เลยขาย เพิ่งมารู้ตอนโตว่าแม่ขายรถเพื่อเลี้ยงเรา ส่งเราเรียน”
อ่านบทสัมภาษณ์ของไบร์ท ได้ที่หน้าถัดไป
The post คุยกับ ไบร์ท-วชิรวิชญ์ แบบลึกสุดใจ “ความดัง ดราม่า และผู้หญิงที่รักที่สุดในชีวิต” appeared first on SUDSAPDA (สุดสัปดาห์) - TREND LIFESTYLE AND INSPIRATION.