ราชสำนักญี่ปุ่นอัญเชิญ ดาบคุซานางิในตำนาน เนื่องในโอกาส พิธีสละราชสมบัติสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น

ในวันที่ 30 เมษายน 2562 ที่กำลังจะมาถึงนี้ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ (Emperor Akihito of Japan) จะทรงสละราชสมบัติ และในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ประเทศญี่ปุ่นจะมีพระจักรพรรดิองค์ใหม่ นั่นก็คือ สมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะ (Emperor Naruhito of Japan) นอกจากวาระอันเป็นมหามงคลยิ่งที่ทั่วโลกกำลังจับตามองนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ประชาชนพากันจับจ้องไม่แพ้กัน กล่าวคือ พิธีสละราชสมบัติสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น จะมีการอัญเชิญ พระแสงดาบคุซานางิในตำนาน ออกมาเพื่อประกอบพิธีกรรมด้วย

พิธีสละราชสมบัติสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น ราชสำนักญี่ปุ่นจะอัญเชิญดาบคุซานางิในตำนาน

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (18 เมษายน) สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ (Empress Michiko of Japan) ได้เสด็จไปยังศาลเจ้าใหญ่อิเซะ ในจังหวัดมิเอะ เพื่อประกอบพิธีถวายบังคมทูลลาดวงพระวิญญานบรรพชนแห่งราชวงศ์เบญจมาศ

ในการนี้ ได้มีการอัญเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์สำคัญ 2 สิ่ง อันได้แก่ พระแสงดาบคุซานางิ (Kusanagi Sword) และ ลูกปัดหยกยาซากานิ โนะ มางาตามะ (Yasakani No Magatama ) นำมาร่วมพิธีพร้อมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งเก็บรักษาในศาลเจ้าอิเซะอยู่ก่อนแล้ว นั่นก็คือ กระจกสำริดยาตะ โนะ คะงะมิ (Yata No Kagami)

การเสด็จเยือนศาลเจ้าใหญ่อิเซะครั้งนี้ ถือเป็นการเสด็จออกนอกกรุงโตเกียวครั้งสุดท้าย ในฐานะสมเด็จพระจักรพรรดิ และสมเด็จพระจักรพรรดินีของทั้งสองพระองค์ เมื่อพิธีในการสละราชสมบัติสิ้นสุดลง เครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งสามดังกล่าว จะตกเป็นของสมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะ ซึ่งพระองค์จะทรงมีหน้าที่รักษาไว้ เพื่อมอบให้แก่สมเด็จพระจักรพรรดิองค์ต่อไป ทั้งนี้พระแสงดาบคุซานางิ ซึ่งเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ได้ปรากฎแก่สายตาสาธารณชน ในขณะที่สมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะเสด็จเข้าศาลเจ้าใหญ่อิเซะ อย่างไรก็ดี พระแสงดาบคุซานางิได้ถูกคลุมด้วยผ้าปักลายดอกเบญจมาศจนไม่เห็นตัวดาบ เช่นเดียวกับในพระราชพิธีสมัยครั้งที่สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะขึ้นครองราชย์ไม่ผิดเพี้ยน

พิธีสละราชสมบัติสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น

เครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งสามนี้ล้วนมีตำนานผูกพันกับประเทศญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง ตามตำนานกล่าวว่า เทพีอามาเทราซึ เทพีแห่งดวงอาทิตย์ และเทพสูงสุดของประเทศญี่ปุ่นได้ประทานเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งสามให้แก่พระนัดดาของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องหมายของพระจักรพรรดิญี่ปุ่นสืบต่อไป ดังนั้นในอดีตจึงได้มีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งสามมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อปี 1989 พระองค์ทรงสืบทอดเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งสามนี้ต่อเนื่องมาตามโบราณราชประเพณี อย่างไรก็ดี แม้จะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ แต่ด้วยความที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับตำนานในหลากหลายแง่มุม จึงมีการถกเถียงในรัฐบาลญี่ปุ่นว่า สมควรหรือไม่ที่จะนำเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งสาม มาร่วมในพิธีขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ใหม่ แต่เนื่องจากเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งสามมีคุณค่าทางจิตใจต่อพสกนิกรชาวญี่ปุ่นอย่างมาก ทางรัฐบาลจึงยินยอมที่จะให้เครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งสาม เป็นส่วนหนึ่งของพิธีการในที่สุด