ปี 2538 ภาพยนตร์เรื่องโลกทั้งใบให้นายคนเดียว สร้างสถิติภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงสุด ณ เวลานั้น เราไม่ได้มีภาพจำ เต๋า สมชาย เข็มกลัด และ โมทย์ – ปราโมทย์ แสงศร’ แค่บท ‘ไม้-เม่น’ สองพี่น้องที่ทำให้หนังดังเป็นพลุแตก แต่เขาทั้งสองคือหนึ่งในตำนานป๊อปไอคอนยุค 90s สุดฮ็อต คิวแน่นเอี้ยดจนหาตัวจับยาก ในวันที่พวกเขาเติบเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว ที่ต่างก็แยกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในแบบตัวเอง และด้วยวัยที่โตขึ้น ทั้งคู่อาจจะไม่ได้พบปะกันบ่อยเท่ากับสมัยวัยรุ่น แต่เมื่อที่หวนกลับมาเจอกันอีก ความเป็นเพื่อนก็ต่อติด คลิกได้ในทันที
เต๋า-โมทย์ คำว่าเพื่อนไม่เคยหายไป
เจอครั้งแรก…ก็แอบเขม่นกันเสียแล้ว
เต๋า: โมทย์เป็นเด็กโรงเรียนวัดประดู่ในทรงธรรม มาเจอกับเด็กวัดเทพศิรินทร์อย่างผม ซึ่งเจอกันครั้งแรกตอนเข้าไปหาพี่พจน์ อานนท์ รวมแล้วเรารู้จักมา 30 ปีพอดีครับ
โมทย์: เฮ้ย…ไม่ใช่ ก่อนหน้านั้นเราเจอกันแว้บๆ ตอนไปแคสฯ โฆษณา (โมทย์แย้ง)
เต๋า: เออ… ใช่ๆ พอดีงานนั้นผมขายหน้าตา (หัวเราะ) เท่าที่จำได้น่าจะเป็นโคโลญจ์เอเวอร์เซนต์นะ คนหน้าตาไม่ดี ไม่ได้นะ
โมทย์: สรุปงานนั้นไม่ได้ทั้งคู่ (ยิ้ม) หลังงานนั้นเราก็ไปหาพี่พจน์อย่างที่เต๋าเล่า คือสารภาพเลยว่าเจอกันครั้งแรกผมไม่ชอบมันเลย
เต๋า: กูก็ไม่ชอบมึง ตอนนั้นเข้าไปคุยกับพี่พจน์ว่าจะถ่ายแบบ แต่ยังไม่ได้ขึ้นปกนะ เป็นภาพในเล่ม เนี่ยเพิ่งจะได้เห็นภาพนั้นไม่กี่วัน ไม่รู้ว่าใครส่งมาให้ เมียผมเลยเอาลงไอจี จากนั้นงานก็ได้ขึ้นปกคนเดียว จำได้ว่าไปถ่ายที่สวนลุมฯ ช่วงที่กำลังปิดซ่อมแซมพอดี มีรั้วกั้นเป็นสังกะสี ทาสี วาดลายดอกไม้สวยงาม รู้สึกว่าจะปี 2531-2532 น่ะครับ
ย้อนตำนานป๊อปไอคอนยุค 90s
โมทย์: ผมปล่อยให้เต๋านำไปก่อน แล้วผมตามหลัง เพราะผมหน้าเด็กกว่ามันนะ ตอนนั้น (หัวเราะ)
เต๋า: มันตามหลังแต่ดังเลยนะ ได้เล่นหนัง “กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้” กับแท่ง-มอส ส่วนผมไปเล่นซิทคอมของพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) เรื่องนางฟ้าสีรุ้ง ผมเป็นพระเอกคนแรกของพี่บอยเลยนะ หลังจากนั้นก็ไม่ได้เป็นอีกเลย เขาเลือกคนอื่นเล่น (หัวเราะ) แล้วผมไปอยู่ที่อาร์เอส โห… ตอนนั้นเรียกว่า ตำนานสองค่าย ผมอยู่อาร์เอส มอสอยู่แกรมมี่ เป็นยุคที่เราไม่สามารถทำงานด้วยกันได้ แต่ตลอดเวลาจนมาถึงท้ายสุด ผมกับมอสเป็นเพื่อนกัน 30 ปีเหมือนกัน
โมทย์: ก่อนที่เราจะแยกกันไปอยู่ค่ายเพลง เราก็ได้เล่นหนังเรื่อง “สะแด่วแห้ว” มีผม เต๋าและมอส จากนั้นมีรายการ “4+1 ถึงจะเท่ไ ทำงานด้วยกัน กินนอนด้วยกัน เพราะออนแอร์ทุกอาทิตย์ แล้วผมก็มาอยู่อาร์เอส เล่นหนังโลกทั้งใบให้นายคนเดียว กับมันนี่แหละ (ยิ้ม) ก่อนมีอัลบั้มของตัวเอง
เต๋า: โลกทั้งใบให้นายคนเดียว ถือว่าทำให้เรา 3 คน นุ๊ก เต๋า โมทย์ เติบโตขึ้นอย่างชัดเจนในฐานะนักแสดง คนชอบเรื่องนี้ เพราะเป็นหนังวัยรุ่นผสมความเป็นแอ็คชั่นเรื่องแรก ซึ่งสมัยก่อนไม่ค่อยมีแนวนี้เท่าไร และหลังจากนั้นหนังแอ็ค ชั่นวัยรุ่นโผล่ขึ้นมาอีกเยอะแยะมากมาย ซึ่งผมรู้สึกว่าโลกทั้งใบฯ กลายเป็นหนังเปิดตลาดในแนวนี้ แล้วมันประสบความสำเร็จมาก เข้าชิงรางวัลทุกสถาบัน กวาดรายได้สูงสุดในช่วงนั้น
โมทย์: เข้าชิงรางวัลทุกสถาบันจริงๆ แต่มีอยู่งานหนึ่งไปร่วมงานกันทุกคน ทุกคนเข้าชิงหมด และทุกคนได้รางวัล ยกเว้นผม ตอนนั้นไปที่เชียงใหม่ คืนนั้นผมเฟลมากแล้ว ผมก็รู้สึกว่าไม่อยากไปไหน ผมก็อยู่ในห้องพักตลอดเลย แล้วตอนนั้นก็คิดว่า ทำไมเราเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ ด้วยความเด็กตอนนั้นก็เฟลนะ แล้วทุกคนก็ไปปาร์ตี้ฉลองกัน แต่ผมไม่ไป สมชายคงมองหาเรา และคิดว่า โมทย์! มึงไปไหนทำไมไม่มา คนที่ไม่เกี่ยวยังมาเลย เขาก็มาโวยวายกับผมทีหลัง ซึ่งตอนนั้นผมไม่ได้บอกเต๋าไปว่าเราเฟลนะ แต่สุดท้ายเขาก็รู้ถึงเหตุผลว่าทำไมเราไม่ไป
‘ตี๋ใหญ่ 2 ดับ เครื่อง ชน’ การประชันบทบาทของเพื่อนซื้ในรอบ 15 ปี
เต๋า: ขอเล่าถึงที่มาก่อนครับ จริงๆ คิดกันไว้ตั้งแต่ซีซั่นแรก “ตี๋ใหญ่ ดับเครื่องชน” แล้วว่าเราจะจบยังไงดี ก็เกิดการพูดคุยกันว่า มันน่าจะมีภาคต่อหรือเล่าเป็นปลายเปิดไปสู่ซีซั่น 2 ได้ พอหลังจากจบซีซั่น 1 กระแสการตอบรับดีมาก หลายสิ่งที่พวกเราทุ่มเท สามารถถ่ายทอดไอเดียได้เต็มที่ ถือว่าเป็นงานมาสเตอร์พีชของผมงานหนึ่ง มีความสุขความทรงจำที่ดีมา และเสียงตอบรับของคนดูก็เรียกร้องว่าอยากให้มีอีก แล้วบทแรม ทางเตอร์ ทีมงาน และผมก็ได้ปรึกษากันว่าบทนี้น่าจะเหมาะกับโมทย์ ผมจึงตามหาตัวโมทย์
โมทย์: ถึงขนาดต้องตามหาเลยเหรอ
เต๋า: เออดิ ตามตัวยากมา ช่วงหนึ่งเขาเปลี่ยนเบอร์ ก็เลยขาดการติดต่อกันไป แต่ตอนนี้ตามง่าย เพราะมีเฟซบุ๊ก ไอจี ไลน์ โทร. ไปเกริ่นก่อนอาทิตย์หนึ่ง โมทย์ถึงโทร.กลับ
โมทย์: ผมถาม “มีธุระอะไร” (ยิ้ม)
เต๋า: ดูมัน! ผมก็บอกว่า ถ้าไม่โทร.กลับลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าจะคุยกับมันเรื่องซีรีส์ ก็เล่าให้โมทย์ฟังว่าบทเป็นแบบนี้นะ สนใจไหม เขาก็ลังเลเพราะไม่ได้เล่นมานาน ผมก็เชียร์เลยสิ คือบทนี้มันใช่สำหรับโมทย์ ต้องโมทย์เล่นเลยนะ และผมมั่นใจว่าเขาทำได้
โมทย์: คือเต๋ามันบิลท์ผมมาก เลยมีการคุยกับปีเตอร์ (นพชัย ชัยนาม ผู้กำกับ) หลายรอบ เพราะผมไม่ได้เล่นละครนานเกือบ 15 ปีแล้ว ไม่รู้ว่ากลับมาเล่นจะเป็นยังไง ซึ่งเหตุผลที่ตัดสินใจรับเรื่องนี้ ก็คือ พอได้อ่านแล้วอยากเล่น เป็นบทที่ใฝ่ฝัน อยากเล่นมาตั้งแต่เด็ก บท “แรม” เป็นคนที่มีทัศนคติเป็นของตัวเอง เหมือนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย มีความเพี้ยนอารมณ์ขึ้นลง ตลอดเวลา ซึ่งผมไม่เคยเล่นบทแบบนี้มาก่อน เออ… เจ๋งว่ะ ก็รู้สึกท้าทาย และก็ไม่ได้แสดงมานาน ก็อยากจะลองกลับมาในบทบาทใหม่ๆ บ้าง อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ได้กลับมาร่วมงานกับเพื่อน ในบทบาทที่ต้องปะทะกัน ซึ่งแตกต่างไปจากบทเดิมที่เคยเล่น
เต๋า: แหม…ก็พูดมาตรงๆ ที่รับเพราะไม่มีจะ แ…ก (หัวเราะ)
โมทย์: นั่นคือเหตุผลประกอบครับ (หัวเราะ) เอาจริงๆ ถ้าผมเพิ่งเข้าวงการแล้วต้องมาเล่นบทนี้ ผมคงไม่รอด ช่วงที่หายไปคนจะเข้าใจว่าผมออกจากวงการ จริงๆ แล้วไม่ได้หายไปไหนเลยครับ ยังฝึกฝนตัวเองกับละครเวที ทำงานกลับกลุ่มคนเล็กๆ ปีละเรื่อง บวกกับทำงานเบื้องหลังไปด้วย มีโอกาสได้เจอกับนักแสดงที่เก่ง เจอกับอาจารย์สอนการแสดง ซึ่งเป็นอีกกลุ่มที่ทำให้เราได้ฝึกฝนการแสดงและเข้าใจตัวเองมากขึ้นครับ
เรื่องนี้ต้องใช้พลังเยอะ เราต้องลงลึกไปตั้งแต่แรมเป็นเด็กที่มีชีวิตที่แย่ พอโตขึ้นมาก็คิดว่าต้องทำให้ตัวเองมีความสุขที่สุดในเส้นทางชีวิต แม้จะเป็นทางสายดำหน่อย แต่เขาคิดว่าชีวิตหนึ่งก็แค่นี้แหละ ใช้ให้คุ้ม จะก็ตายเมื่อไรก็ไม่รู้ ตายก็ไม่เสียดาย เพราะได้ใช้ชีวิตแบบที่อยากทำแล้วผมว่าคนแบบนี้มีเยอะในสังคมเรา
เต๋า: เขาเล่นอย่างที่พวกเราจินตนาการไว้เลย เรารู้ทางกัน เขามีมาตรฐานที่ดีในการแสดงอยู่แล้ว ประสบการณ์เขาเข้มข้นมาก ทำงานทั้งเบื้องหลัง ทั้งเป็นผู้กำกับ เขียนบท เป็นอาจารย์พิเศษอยู่ ม.ศิลปากร แล้วเขาทำการบ้านมา ซึ่งเป็นสไตล์เขา อย่างผมก็มีวิธีของผม เป็นสองบทแอคชั่นที่แตกต่างกันที่จับมาชนกันแล้วลงตัว เคมีมันได้
โมทย์: เหมือนเราต่างแยกย้ายกันไปใช้ชีวิต พอกลับมาเจอกันก็เข้าใจกันง่ายขึ้น ไม่ต่อก็ติด ไม่ต้องจูนอะไรมาก เพราะเราสองคนเข้าใจเรื่องการทำงาน ยิ่งคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนทำให้ผมเข้าใจมาก
เต๋า: ปีเตอร์ทำซีซั่น 2 เขาก็ฝึกวิชาจากภาคแรกนะ ทำให้ภาคนี้ทุกอย่างลงตัวมากทำงานเร็วขึ้นเยอะ คือผมได้กลับบ้านเร็ว ซีซั่น 1 จะกลับบ้านดึก เมียก็โทรถามเมื่อไรจะกลับบ้าน (หัวเราะ) แต่ภาคสองสี่ทุ่มปุ๊บ เลิกกองปั๊บ
จากเพื่อนถึงเพื่อน
โมทย์: ผมอยู่กับเต๋ามาตั้งแต่เข้าวงการ ผมเคยไปเจอคุณย่าเต๋าตั้งแต่สมัยบ้านเขาอยู่คลองเตย เราผ่านความเฮ้วในสมัยวัยรุ่น ซ่าๆ เฟี้ยวๆ มาด้วยกันบ้าง ผมมองว่าสมชายเป็นเหมือนตัวแทนความเหี้ยของผมในบางที (หัวเราะ) ผมคิดเหี้ยนะ แต่ไม่แสดงออก แต่เต๋าเป็นคนที่แสดงออกแทนเรา (ยิ้ม)
เราก็เลยรู้สึกว่า อืม… จริงๆ เพื่อนคนนี้มันคิดไม่ต่างกับเราหรอก ผมประทับใจเต๋าตรงที่มีความเป็นเพื่อนสูงมาก เขามีสังคมมากกว่าผม ส่วนผมจะมีโลกส่วนตัวมากกว่าเขา บางทีผมไม่รู้ว่าจะจัดการหรือเข้าไปอยู่ในสังคมได้ยังไง เต๋าก็จะคอยบอก คอยแนะนำตลอด
เต๋า: แค่มองหน้าก็รู้ใจ ผมรู้ว่ามันเป็นแบบนี้ โมทย์ก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง โมทย์ยังเป็นคนนิ่งๆ ที่ยอมให้ผมแกล้งทุกวัน เดี๋ยวนี้ก็ยังแกล้งอยู่ เราสองคนไม่ต้องมานั่งระวังตัว ตอนเด็กๆ พูดจากันยังไง วันนี้ก็ยังพูดเหมือนเดิม คือสำหรับผมกับโมทย์ ความเพื่อนยังไงก็เป็นเพื่อนอยู่วันยังค่ำ แม้จะไม่เจอกัน10 ปี 20 ปี 30 ปี เราไม่ได้ต่อสู้หรือแข่งขันกันเลยตั้งแต่เด็ก มีแต่ช่วยเหลือกันให้เกิดสิ่งดีๆ ช่วยกันสร้างให้เกิดมิติใหม่ในเรื่องของงาน
คือผมมักจะได้ยินคำว่า ‘ขโมยซีน’ ‘ฆ่ากันในซีน’ ซึ่งผมว่ามันเชยมาก ผมกับโมทย์เราไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ คำว่าเพื่อนระหว่างเราคือการดูแลซึ่งกันและกัน พึ่งพาอาศัยและเกื้อหนุนกัน ผมว่าตรงนี้คือคำว่ามิตรภาพจริงๆ ผมบอกเลยว่าผลงานมาสเตอร์พีซของเต๋า-โมทย์ คือเรื่องโลกทั้งใบให้นายคนเดียว
จนมาถึงเรื่องนี้ ตี๋ใหญ่ 2 ดับเครื่องชน พอเขามาเล่นเป็นแรม ภาพเมื่อปีพ.ศ.2538 ประมาณ 20 ปีที่แล้วยังติดตาอยู่เลย ซึ่งเรื่องนี้ผมกล้าพูดได้เลยว่า มันได้เกิดเป็นงานมาสเตอร์พีชอีกชิ้นหนึ่งของผมกับโมทย์ ติดตามเรื่องราว สนุก เข้มข้นนี้ ได้ทุกวันอาทิตย์ เวลา 15.00 น.ช่อง “MONO29” ครับ
Text AuAi Photo sudsapda
The post เต๋า สมชาย – ปราโมทย์ แสงศร เพื่อนซี้ (ไม่) ต่อก็ติดเสมอ appeared first on SUDSAPDA (สุดสัปดาห์) - TREND LIFESTYLE AND INSPIRATION.